
เข้าใจสัญญาเพื่อคุมงานก่อสร้าง ลดปัญหา เพิ่มความราบรื่นทุกโครงการ
ในทุกโครงการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็น บ้านพักอาศัย อาคารสำนักงาน หรือโรงงาน สัญญาก่อสร้างถือเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้ในการกำหนดขอบเขตงาน สิทธิหน้าที่ และความรับผิดชอบของทุกฝ่าย หากสัญญาไม่รัดกุมหรือคลุมเครือ อาจนำไปสู่ปัญหาความล่าช้า ค่าใช้จ่ายที่เกินจากงบประมาณ หรือข้อพิพาททางกฎหมาย การทำความเข้าใจสัญญาก่อสร้างให้รอบด้านจึงเป็นสิ่งที่เจ้าของโครงการไม่ควรมองข้าม
ปัญหาที่พบบ่อยเมื่อขาดการคุมงานก่อสร้าง
หากโครงการก่อสร้างไม่มีการคุมงานก่อสร้าง ที่รัดกุม มักจะเจอปัญหาเดิม ๆ ซ้ำซ้อน เช่น งานล่าช้า งบประมาณบานปลาย วัสดุไม่ได้มาตรฐาน หรืองานไม่ตรงตามสัญญา ซึ่งสุดท้ายอาจบานปลายไปถึงขั้นข้อพิพาททางกฎหมาย การคุมงานจึงไม่ใช่เพียงการติดตามความคืบหน้า แต่คือการป้องกันความเสี่ยงและทำให้โครงการเดินหน้าอย่างมั่นใจตั้งแต่ต้นจนจบ
ความสำคัญในการสัญญาการคุมงานก่อสร้าง
ในโครงการก่อสร้างทุกประเภท การมีสัญญาการคุมงานก่อสร้าง ที่ชัดเจนถือเป็นหัวใจสำคัญ เพราะสัญญานี้ไม่ได้ระบุเพียงแค่ ขอบเขตงาน หรือ ค่าใช้จ่าย เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็น “กรอบควบคุม” เพื่อให้โครงการเดินหน้าไปตามแผนที่วางไว้
เพราะถึงแม้เจ้าของโครงการจะมีแผนงานและงบประมาณที่ดีเพียงใด แต่หากขาดสัญญาที่ระบุการคุมงานอย่างละเอียด ก็เสี่ยงต่อการเกิด ความล่าช้า งานไม่ตรงสเปก และค่าใช้จ่ายที่บานปลาย การมีสัญญาคุมงานก่อสร้างจึงเปรียบเสมือนเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง ช่วยให้เจ้าของโครงการมั่นใจว่า ทุกขั้นตอนจะถูกตรวจสอบและควบคุมอย่างรัดกุม
ส่วนสำคัญของสัญญาก่อสร้างที่ควรรู้
- ขอบเขตงาน (Scope of Work) ขอบเขตงานที่ชัดเจนช่วยลดความเข้าใจผิดระหว่างเจ้าของงานกับผู้รับเหมา ระบุรายละเอียดงานที่ครอบคลุม ตั้งแต่งานโครงสร้าง งานสถาปัตย์ ไปจนถึงงานระบบ
- ระยะเวลาและแผนงาน (Project Schedule) สัญญาควรกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน พร้อมเงื่อนไขสำหรับความล่าช้า เช่น ค่าปรับรายวัน (Liquidated Damages) เพื่อป้องกันโครงการยืดเยื้อเกินจำเป็น
- งบประมาณและเงื่อนไขการชำระเงิน (Payment Terms) ระบุยอดรวม วิธีการชำระ และงวดงานที่ชัดเจน ช่วยป้องกันปัญหาเงินค้างหรือค่าใช้จ่ายบานปลาย
- มาตรฐานคุณภาพและวัสดุ (Quality & Materials) สัญญาที่ดีต้องกำหนดมาตรฐานงานก่อสร้าง วัสดุที่ใช้ รวมถึงข้อกำหนดเรื่องการตรวจสอบและทดสอบคุณภาพ เพื่อให้ได้ผลงานตรงตามที่ตกลง
- การรับประกันและข้อกำหนดหลังส่งมอบ (Warranty & Maintenance) ระบุระยะเวลาการรับประกันงาน วัสดุ และเงื่อนไขการซ่อมบำรุง เพื่อคุ้มครองเจ้าของงานภายหลังโครงการเสร็จสมบูรณ์
- ข้อกำหนดการแก้ไขข้อพิพาท (Dispute Resolution) เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามจนต้องขึ้นศาล ควรกำหนดวิธีการไกล่เกลี่ยไว้ล่วงหน้า
เคล็ดลับเสริมความครอบคลุม
แม้สัญญาจะถูกจัดทำอย่างรอบคอบแล้ว แต่การมีที่ปรึกษางานก่อสร้าง (Construction Consultant) เข้ามาช่วยตรวจสอบสามารถเพิ่มความมั่นใจได้อีกขั้น เพราะที่ปรึกษาจะมองเห็นประเด็นที่เจ้าของโครงการอาจมองข้าม เช่น
- การตรวจสอบความรัดกุมของสัญญา – ให้คำแนะนำในการปรับแก้ข้อความที่คลุมเครือ ไม่ชัดเจน ให้เข้าใจตรงกันทุกฝ่าย
- การตรวจสอบหน้างาน – เพื่อยืนยันว่างานก่อสร้างสามารถทำได้ตามข้อกำหนดในสัญญาหรือไม่
- เป็นที่ปรึกษาในการเจรจา – หากเกิดข้อขัดแย้งสามารถช่วยเสนอแนวทางแก้ไขอย่างเป็นกลาง
ที่ปรึกษาจึงทำหน้าที่เหมือน “ผู้ช่วยผู้ตรวจสอบ” ที่ทำให้สัญญาก่อสร้างใช้งานได้จริง และช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
การทำความเข้าใจ สัญญาก่อสร้าง อย่างรอบด้าน คือการปกป้องโครงการตั้งแต่ก้าวแรก เพราะสัญญาที่รัดกุมไม่เพียงช่วยควบคุมงบประมาณ กำหนดมาตรฐานคุณภาพ และลดความเสี่ยงข้อพิพาท แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญของการ คุมงานก่อสร้าง ให้ดำเนินไปตามแผนที่วางไว้ ขณะเดียวกัน การมีที่ปรึกษางานก่อสร้างคอยตรวจสอบและให้คำแนะนำเพิ่มเติม จะช่วยเสริมความมั่นใจให้เจ้าของโครงการว่างานเป็นไปตามมาตรฐานจริง
หากคุณกำลังวางแผนโครงการก่อสร้าง อย่าลืมให้ความสำคัญกับสัญญา ควบคู่กับการเลือกผู้เชี่ยวชาญด้าน คุมงานก่อสร้าง ที่มีประสบการณ์ เช่นบริการควบคุมงานก่อสร้างจาก NS Plus Engineering เพื่อให้โครงการของคุณมั่นใจได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เดินหน้าอย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงในอนาคต
Website : https://www.nsplusengineering.com
โทร : 086-307-5103, 085-114-3733
Facebook : nsplusengineering
Line : @nsplus
Email : info.nsplus@gmail.com

