การเจาะแท่งตัวอย่างและการทดสอบหาค่ากำลังอัดของคอนกรีต (BS 1881 : Part 4, ASTM C 42-77)
การประเมินค่ากำลังอัดของคอนกรีตด้วยวิธีค้อนกระแทก วิธีการยิงด้วยหัวหยั่งทดสอบวินเซอร์ หรือโดยใช้คลื่นอัลตราโซนิก เป็นการหาค่ากำลังอัดของคอนกรีตทางอ้อม นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่ใช้ ในการประเมินค่ากำลังอัดของคอนกรีตโดยตรง ได้แก่ การเจาะเก็บตัวอย่างจากองค์อาคารจริง และนำตัวอย่างคอนกรีตที่ได้ไปทดสอบในห้องปฏิบัติการ ซึ่งการเจาะเก็บตัวอย่างจะทำให้ทราบข้อมูลอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากค่ากำลังอัดของคอนกรีตด้วย เช่น สีของมวลรวม การเกิดโพรงช่องว่าง ขนาดเหล็กเสริม ความหนาแน่นหรือหน่วยน้ำหนัก ความลึกของคาร์บอเนชัน หรือระยะการซึมผ่านของคลอไรด์ เข้าไปในคอนกรีต หรือการนำแท่งตัวอย่างไปวิเคราะห์ทางเคมี เป็นต้น มาตรฐานต่างประเทศที่สามารถอ้างอิง ได้แก่ BS 1881: Part 4 หรือ ASTM C 42-77
กำลังอัดของคอนกรีตที่วัดได้จากการเจาะแท่งตัวอย่างจะขึ้นอยู่กับรูปทรงและอัตราส่วนระหว่างความสูงและเส้นผ่านศูนย์กลาง (H/D) ของรูปทรงกระบอก ในมาตรฐานของ BS 1881 : Part 4 หรือ ASTM C 42-77 ได้กำหนดไว้ให้มี H/D เท่ากับ 2 ในการที่จะทำให้ผลการทดสอบกำลังอัดของตัวอย่างได้ค่าใกล้เคียงกับ กำลังอัดของโครงสร้างจริง อย่างไรก็ตามมีความเป็นไปได้ในการทำงานจริงที่ไม่สามารถเจาะเก็บตัวอย่าง ให้ได้ H/D เท่ากับ 2 ในกรณีดังกล่าว มาตรฐานได้กำหนดสมการที่ใช้สำหรับคูณปรับแก้ค่าของตัวอย่าง ที่มีค่า H/D ต่างไปจาก 2 แต่ใช้ได้กับเฉพาะแท่งตัวอย่างที่มีอัตราส่วน H/D อยู่ระหว่าง 1 ถึง 2 เท่านั้น กรณีที่แท่งตัวอย่างมีอัตราส่วนของ H/D น้อยกว่า 1 กำลังอัดของตัวอย่างคอนกรีตที่ได้จากการทดสอบ
หรือ 100 มม. อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยากในการเจาะเก็บตัวอย่างให้ได้ขนาดตามที่กำหนด เช่น ในกรณีที่มีเหล็กเสริมกีดขวางอยู่ภายในองค์อาคารจำเป็นต้องใช้กระบอกเจาะที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 100 มม. เพื่อหลบเหล็กเสริม แต่อย่างไรก็ตามต้องมีขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 3 เท่าของขนาดโตสุดของมวลรวมของคอนกรีตนั้น
ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่ากำลังอัดของตัวอย่างคอนกรีตที่ควรนำมาพิจารณา มีดังต่อไปนี้
(1) ขนาดของมวลรวมหยาบ หากอัตราส่วนของเส้นผ่านศูนย์กลางของแท่งตัวอย่างคอนกรีตต่อขนาดโตสุดของมวลรวมหยาบน้อยกว่า 3 เท่า มีรายงานการวิจัยว่าค่ากำลังอัดที่ทดสอบได้ จะต่ำกว่าความเป็นจริง การทดสอบแท่งคอนกรีตที่มีมวลรวมหยาบขนาด 20 มม. โดยที่แท่งตัวอย่างคอนกรีตมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 50 มม. จะได้ค่าการทดสอบที่ต่ำลงประมาณร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับค่าที่ได้จากแท่งตัวอย่างที่มี เส้นผ่านศูนย์กลาง 100 มม.
(2) การมีเหล็กเสริมอยู่ในแท่งตัวอย่างคอนกรีต จากผลการศึกษาพบว่า การมีเหล็กเสริมตามขวาง ทำให้ค่ากำลังอัดที่ทดสอบได้ลดลงร้อยละ 5 ถึง 15 ส่วนการมีเหล็กเสริมตามแนวยาว (แนวแกน) จะทำให้ ค่ากำลังอัดที่ทดสอบได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของเหล็กเสริม อย่างไรก็ตามในการเจาะ แท่งตัวอย่างคอนกรีต ควรหลีกเลี่ยงแนวเหล็กเสริมโดยอาศัยอุปกรณ์หาตำแหน่งเหล็กเสริมช่วย โดยสามารถปฏิบัติตามมยผ. 1505-51
(3) อายุของคอนกรีตในองค์อาคาร หรือโครงสร้างที่ต้องการเจาะทดสอบควรมากกว่า 28 วัน
(4) อุปกรณ์ที่ใช้ในการเจาะ ควรทำการวัดการสั่นสะเทือนและการได้ระนาบของกระบอก ที่ใช้ในการเจาะแท่งตัวอย่าง เนื่องจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลโดยตรงต่อรูปทรงของตัวอย่างซึ่งอาจทำให้ไม่ได้ รูปทรงกระบอกและค่ากำลังอัดที่ทดสอบที่ได้อาจต่ำกว่าความเป็นจริง
การทดสอบคอนกรีต ถือเป็นกระบวนการหนึ่งในการตรวจโครงสร้างอาคาร โดยทีมวิศวกรผู้ตรวจสอบอาคารจาก N.S. PLUS ENGINEERING จะดำเนินงานทดสอบคอนกรีตโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แน่นอนและชัดเจนยิ่งขึ้น หมดกังวลกับปัญหาบ้านทรุด หรืออาคารทรุดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากคอนกรีตหรือโครงสร้างอาคารไม่แข็งแรง