ทดสอบคอนกรีต

ทดสอบคอนกรีต ทดสอบกำลังรับแรงอัดประลัยคอนกรีตโดยวิธีทำลาย (Standard Test Method for Compressive Strength of Concrete)

งานทดสอบคอนกรีตโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบอาคาร ได้ผลลัพธ์แม่นยำ

สำหรับการทดสอบหากำลังรับแรงอัดประลัยของคอนกรีต จะทำการทดสอบโดยวิธีทำลาย (CONCRETE TESTING) โดยทำการเจาะเก็บแท่งตัวอย่างคอนกรีตขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดประมาณไม่น้อยกว่า 2 นิ้ว จากส่วนโครงสร้าง เช่น เสา คาน พื้น หรือส่วนคอนกรีตที่ต้องการพิจารณาด้วยเครื่องเจาะระบบ Rotary หัวเจาะ (Diamond Core Bit) แท่งตัวอย่างที่ได้จากการเจาะจะถูกนำมาตัดให้ได้อัตราส่วนความยาวต่อเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2:1 แล้วทำการ Cap ด้วยสาร Capping Compound ก่อนนำส่งไปทดสอบคอนกรีตหาค่ากำลังอัดสูงสุด (Max. Compressive Strength) ด้วยเครื่อง Compression Machine ในห้องปฏิบัติการ

ทำไมจึงควรทดสอบคอนกรีต

  • ตรวจสอบความปลอดภัยของอาคาร โดยเฉพาะอาคารเก่าที่ใช้งานมายาวนาน
  • ประเมินสภาพโครงสร้าง ควรตรวจโครงสร้าง ก่อนซ่อมแซมหรือปรับปรุงอาคาร
  • ตรวจสอบสาเหตุของรอยร้าว การทดสอบคอนกรีตสามารถช่วยหาสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยร้าวบนอาคารได้
  • ควบคุมคุณภาพ ผลการทดสอบคอนกรีตจะช่วยบ่งชี้ถึงคุณภาพคอนกรีตในโครงสร้างอาคารได้




หลีกเลี่ยงปัญหาอาคารและบ้านทรุดที่อาจเกิดขึ้น ด้วยบริการทดสอบคอนกรีตจากเรา

  


การเจาะแท่งตัวอย่างและการทดสอบหาค่ากำลังอัดของคอนกรีต (BS 1881 : Part 4, ASTM C 42-77)

การประเมินค่ากำลังอัดของคอนกรีตด้วยวิธีค้อนกระแทก วิธีการยิงด้วยหัวหยั่งทดสอบวินเซอร์ หรือโดยใช้คลื่นอัลตราโซนิก เป็นการหาค่ากำลังอัดของคอนกรีตทางอ้อม นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่ใช้ ในการประเมินค่ากำลังอัดของคอนกรีตโดยตรง ได้แก่ การเจาะเก็บตัวอย่างจากองค์อาคารจริง และนำตัวอย่างคอนกรีตที่ได้ไปทดสอบในห้องปฏิบัติการ ซึ่งการเจาะเก็บตัวอย่างจะทำให้ทราบข้อมูลอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากค่ากำลังอัดของคอนกรีตด้วย เช่น สีของมวลรวม การเกิดโพรงช่องว่าง ขนาดเหล็กเสริม ความหนาแน่นหรือหน่วยน้ำหนัก ความลึกของคาร์บอเนชัน หรือระยะการซึมผ่านของคลอไรด์ เข้าไปในคอนกรีต หรือการนำแท่งตัวอย่างไปวิเคราะห์ทางเคมี เป็นต้น มาตรฐานต่างประเทศที่สามารถอ้างอิง ได้แก่ BS 1881: Part 4 หรือ ASTM C 42-77

กำลังอัดของคอนกรีตที่วัดได้จากการเจาะแท่งตัวอย่างจะขึ้นอยู่กับรูปทรงและอัตราส่วนระหว่างความสูงและเส้นผ่านศูนย์กลาง (H/D) ของรูปทรงกระบอก ในมาตรฐานของ BS 1881 : Part 4 หรือ ASTM C 42-77 ได้กำหนดไว้ให้มี H/D เท่ากับ 2 ในการที่จะทำให้ผลการทดสอบกำลังอัดของตัวอย่างได้ค่าใกล้เคียงกับ กำลังอัดของโครงสร้างจริง อย่างไรก็ตามมีความเป็นไปได้ในการทำงานจริงที่ไม่สามารถเจาะเก็บตัวอย่าง ให้ได้ H/D เท่ากับ 2 ในกรณีดังกล่าว มาตรฐานได้กำหนดสมการที่ใช้สำหรับคูณปรับแก้ค่าของตัวอย่าง ที่มีค่า H/D ต่างไปจาก 2 แต่ใช้ได้กับเฉพาะแท่งตัวอย่างที่มีอัตราส่วน H/D อยู่ระหว่าง 1 ถึง 2 เท่านั้น กรณีที่แท่งตัวอย่างมีอัตราส่วนของ H/D น้อยกว่า 1 กำลังอัดของตัวอย่างคอนกรีตที่ได้จากการทดสอบ

หรือ 100 มม. อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยากในการเจาะเก็บตัวอย่างให้ได้ขนาดตามที่กำหนด เช่น ในกรณีที่มีเหล็กเสริมกีดขวางอยู่ภายในองค์อาคารจำเป็นต้องใช้กระบอกเจาะที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 100 มม. เพื่อหลบเหล็กเสริม แต่อย่างไรก็ตามต้องมีขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 3 เท่าของขนาดโตสุดของมวลรวมของคอนกรีตนั้น
ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่ากำลังอัดของตัวอย่างคอนกรีตที่ควรนำมาพิจารณา มีดังต่อไปนี้
(1) ขนาดของมวลรวมหยาบ หากอัตราส่วนของเส้นผ่านศูนย์กลางของแท่งตัวอย่างคอนกรีตต่อขนาดโตสุดของมวลรวมหยาบน้อยกว่า 3 เท่า มีรายงานการวิจัยว่าค่ากำลังอัดที่ทดสอบได้ จะต่ำกว่าความเป็นจริง การทดสอบแท่งคอนกรีตที่มีมวลรวมหยาบขนาด 20 มม. โดยที่แท่งตัวอย่างคอนกรีตมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 50 มม. จะได้ค่าการทดสอบที่ต่ำลงประมาณร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับค่าที่ได้จากแท่งตัวอย่างที่มี เส้นผ่านศูนย์กลาง 100 มม.
(2) การมีเหล็กเสริมอยู่ในแท่งตัวอย่างคอนกรีต จากผลการศึกษาพบว่า การมีเหล็กเสริมตามขวาง ทำให้ค่ากำลังอัดที่ทดสอบได้ลดลงร้อยละ 5 ถึง 15 ส่วนการมีเหล็กเสริมตามแนวยาว (แนวแกน) จะทำให้ ค่ากำลังอัดที่ทดสอบได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของเหล็กเสริม อย่างไรก็ตามในการเจาะ แท่งตัวอย่างคอนกรีต ควรหลีกเลี่ยงแนวเหล็กเสริมโดยอาศัยอุปกรณ์หาตำแหน่งเหล็กเสริมช่วย โดยสามารถปฏิบัติตามมยผ. 1505-51
(3) อายุของคอนกรีตในองค์อาคาร หรือโครงสร้างที่ต้องการเจาะทดสอบควรมากกว่า 28 วัน
(4) อุปกรณ์ที่ใช้ในการเจาะ ควรทำการวัดการสั่นสะเทือนและการได้ระนาบของกระบอก ที่ใช้ในการเจาะแท่งตัวอย่าง เนื่องจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลโดยตรงต่อรูปทรงของตัวอย่างซึ่งอาจทำให้ไม่ได้ รูปทรงกระบอกและค่ากำลังอัดที่ทดสอบที่ได้อาจต่ำกว่าความเป็นจริง

 

ขั้นตอนการทดสอบคอนกรีต

การทดสอบคอนกรีต ถือเป็นกระบวนการหนึ่งในการตรวจโครงสร้างอาคาร โดยทีมวิศวกรผู้ตรวจสอบอาคารจาก N.S. PLUS ENGINEERING จะดำเนินงานทดสอบคอนกรีตโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แน่นอนและชัดเจนยิ่งขึ้น หมดกังวลกับปัญหาบ้านทรุด หรืออาคารทรุดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากคอนกรีตหรือโครงสร้างอาคารไม่แข็งแรง

สแกนตำแหน่งเหล็กเสริม GPR 1. ตรวจสอบตำแหน่งเหล็กเสริม 
ในโครงสร้างด้วย Ground Penetrating Radar (GPR)
เพื่อป้องกันไม่ให้เจาะโดนเหล็ก หากตัวอย่างที่ได้มีเหล็ก ให้ทำการเจาะใหม่
ติดตั้งเครื่องเจาะคอนกรีต 2. ติดตั้งเครื่องเจาะคอนกรีต 
ในตำแหน่งที่จะทำการเจาะเก็บตัวอย่างคอนกรีต เพื่อนำตัวอย่างที่ได้มาใช้ทดสอบคอนกรีต
การเจาะคอนกรีต Coring 3. ทำการเจาะคอนกรีต 
ให้ได้ตามขนาดที่ต้องการ ในขั้นตอนนี้ต้องเจาะด้วยความระมัดระวังไม่ให้โดนเหล็กและการนำแท่งตัวอย่างออกมาต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดการแตกหักเสียหายและตัวอย่างที่เจาะทรงกระบอกต้องมีความสูงต่อขนาเส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 2 เท่า 
ตัวอย่างคอนกรีต  4. เก็บตัวอย่างคอนกรีต 
โดยมีขนาดความสูงไม่น้อยกว่า 2 เท่าของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางโดยต้องเก็บด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้เกิดความเสียหาย เพื่อให้ผลการทดสอบคอนกรีตออกมาแม่นยำมากที่สุด

5. นำแท่งตัวอย่างไปทดสอบที่ห้องปฎิบัติการ 
โดยทำการแต่งหัวคอนกรีต และ Cap หัวให้เรียบ และทดสอบโดยการกดด้วยเครื่อง Compression Machine ก่อนการทดสอบปลายทั้งสองข้างของตัวอย่างคอนกรีตที่ได้จากการเจาะต้องเรียบเป็นระนาบตั้งฉากกับแนวแกน โดยยอมให้มีความคลาดเคลื่อนได้ไม่เกิน 0.5 องศา หรือ 1 มิลลิเมตรต่อระยะ 100 มิลลิเมตร

กรณีที่ปลายของตัวอย่างไม่เรียบ ให้ทำการตัดหรือเคลือบ (Capping) ผิวหน้าของตัวอย่างจนะเป็นระนาบเรียบให้อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ โดยวัสดุที่ใช้ในการ เคลือบผิวหน้ารับแรงอัดของตัวอย่าง (Capping Compound) ต้องสามารถรับแรงอัดได้สูงกว่าแรงอัดของตัวอย่างคอนกรีต

6.บันทึกผลการทดสอบ 
หลังจากทดสอบจะได้ค่าแรงกดสูงสุด ณ จุดวิบัติ และพื้นที่หน้าตัดคอนกรีตที่รับน้ำหนักของตัวอย่างทดสอบ
กำลังรับแรงอัดประลัย (ksc)
= แรงกดสูงสุด ณ จุดวิบัติ (kg)/พื้นที่หน้าตัดคอนกรีต (sq.cm)

 

 


ตัวอย่างผลการทดสอบคอนกรีต โดยผู้ตรวจสอบอาคารประสบการณ์สูง

หมายเหตุ : กรณีแท่งตัวอย่างทรงกระบอกจากการเจาะมีอัตราส่วนความสูงต่อเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1.75
ให้ปรับแก้ค่าความต้านทานแรงอัดที่คำนวณได้ โดยคูณ ด้วยค่าคงที่ตามตารางที่แสดงด้านล่าง สำหรับค่าอัตราส่วนความสูงต่อเส้นผ่านศูนย์กลางอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างค่าที่กำหนดในตาาราง ให้คำนวณหาค่าคงที่โดยใช้วิธ๊เทียบสัดส่วนจากค่าที่กำหนดไว้


ตารางแสดงค่าคงที่สำหรับปรับแก้ค่าความต้านทานแรงอัดสำหรับตัวอย่างที่ได้จากการเจาะ

อัตราส่วนความสูงต่อเส้นผ่านศูนย์กลางของตัวอย่างที่เจาะ ตัวคูณสำหรับแก้ไขค่ากำลังต้านทานแรงอัด
                   1.75              0.98
                   1.50              0.96
                   1.25              0.93
                   1.00              0.87


*อ้างอิงมาตรฐาน มยผ.1210-50 มาตรฐานการทดสอบกำลังต้านทานแรงอัดของคอนกรีต (Standard Test Method for Compressive Strength of Concrete)

**เกณฑ์การประเมินคุณภาพคอนกรีตที่เจาะมาทดสอบตาม ACI 318-99 ระบุว่าโครงสร้างคอนกรีตที่มีกำลังอัดผ่านเกณฑ์ก็ต่อเมื่อค่ากำลังอัดจากก้อนตัวอย่างมีค่าดังนี้

  1. กำลังอัดจากการทดสอบก้อน Core 3 ก้อนจะต้องได้ค่าเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 85 % ของกำลังอัดรับรอง
  2. ค่ากำลังอัดของก้อนตัวอย่างแต่ละก้อนจะต้องมีค่าไม่ต่ำกว่า 75 % ของกำลังอัดรับรอง

แบบฟอร์มติดต่อกลับ

Visitors: 322,530